

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชมเว็บไซต์แห่งนี้นะคะ
ฉันชื่อ โยโกะ อาโมโรโซ เป็นเมนทัลเทรนเนอร์ค่ะ
เพื่อให้คุณได้รู้จักฉันมากขึ้นอีกนิด ขออนุญาตแนะนำตัวเล็กน้อยค่ะ
ฉันเกิดที่เมืองทาจิคาวะ จังหวัดโตเกียว
อาชีพที่ฉันทำต่อเนื่องมายาวนานที่สุด คือ “เทรนเนอร์ด้านการดูแลร่างกายแบบไทย” ซึ่งฉันได้ทำงานด้านนี้มาแล้วกว่า 16 ปี
ตั้งแต่ยังเด็ก ฉันก็มีความรู้สึกในใจเสมอว่า “อยากรู้ความจริงของชีวิตให้ได้!!”
และฉันก็ออกเดินทางเพื่อค้นหาว่า… “อะไรคือความจริงของตัวฉันเอง?”
หลังจากที่ได้เรียนรู้และฝึกฝนในศาสตร์ทางสปิริตชวลมาหลากหลายแนว
ฉันก็ได้พบกับหลักฟิสิกส์ควอนตัม และเข้าใจว่า
ทั้งร่างกาย วัตถุ ความคิด จิตใจ หรือแม้แต่ “จิตสำนึก” ทั้งหมด
ล้วนเกิดจาก “อนุภาคเล็กที่สุด” ที่เรียกว่า “อนุภาคย่อย (Subatomic Particle)” นั่นเอง
เมื่อฉันได้รู้จัก “โลกของควอนตัม” อย่างแท้จริง
องค์ความรู้ที่เคยเรียนมาทั้งหมดก็เริ่มต่อจิ๊กซอว์เข้าหากัน
สิ่งที่เคยเข้าใจแต่ยังคลุมเครือ… ก็เริ่มกระจ่างชัดขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์
และฉันได้พบว่า—
“พลังแห่งวิทยาศาสตร์” สามารถพาฉันไปพบกับ “ผลลัพธ์” ที่ฉันเฝ้ารอมานานได้จริง ๆ!!
เพราะฉันเองเคยลองผิดลองถูกมาไม่น้อย
จนกระทั่งพบกับวิธีที่เรียบง่ายแต่เปลี่ยนแปลงได้จริง
วันนี้…
ฉันอยากแบ่งปันวิธีนั้นให้กับทุกคนค่ะ
เพื่อให้คุณได้เปลี่ยนเป็น “ตัวตนที่คุณปรารถนา”
อย่างเบาสบายและมั่นใจ
และค่อย ๆ ดึงดูดทุกสิ่งที่คุณต้องการ… เข้ามาในชีวิตอย่างเป็นธรรมชาติ
-
ที่ปรึกษาการตื่นรู้เพื่อเปิดทางพลังชีวิต (開運覚醒®ナビゲーター) ที่ได้รับการรับรองจากสมาคม Energy Control® แห่งประเทศญี่ปุ่น (ตั้งแต่ ส.ค. 2022)
-
วิทยากรระดับแกรนด์มาสเตอร์ ที่ได้รับการรับรองจากสมาคม Energy Control® แห่งประเทศญี่ปุ่น (ตั้งแต่ พ.ย. 2021)
-
วิทยากรที่ได้รับการรับรองจากสมาคมการศึกษาเรื่องความทรงจำในครรภ์แห่งประเทศญี่ปุ่น (ตั้งแต่ พ.ย. 2019)
-
นักบำบัดจิตวิทยา TRT (ตั้งแต่ปี 2019)
-
เทรนเนอร์ด้านการดูแลร่างกายแบบไทย (ตั้งแต่ปี 2006 – ปัจจุบัน มีประสบการณ์กว่า 16 ปี)
-
เคยบวชเป็นแม่ชีที่ประเทศไทย และมีประสบการณ์ด้านการฝึกปฏิบัติด้านจิตวิญญาณ (2009–2015)
-
ครูสอนภาษาญี่ปุ่นที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย (เม.ย. 2004 – มี.ค. 2006)
-
แบกเป้เดินทางตามเกาะต่าง ๆ ในโอกินาวาและประเทศในแถบเอเชีย (2000–2016)
-
สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยนิปปอน คณะพาณิชยศาสตร์ สาขาการจัดการธุรกิจ (ปี 2000)
-
ผ่านการฝึกเรกิฮีลลิ่งระดับ 3 (Reiki Healing – Third Level)
-
ได้รับวุฒิบัตรด้าน Hand Scan Healing
-
ผ่านการอบรม Access Bars
-
มีประสบการณ์ด้านการอ่านพลังงานแบบญาณทิพย์ (Clairvoyant Reading)
-
นักบำบัด OPA (Opa Therapist)
-
นักจิตบำบัด NLP (NLP Therapist)
ประวัติในฐานะนักบำบัด
ก่อนที่คุณจะตัดสินใจเข้าร่วมเซสชันหรือคอร์สกับฉัน ฉันอยากให้คุณได้รู้จัก “ตัวฉัน” มากขึ้นอีกสักนิดค่ะ
เพราะฉันเชื่อว่า การแบ่งปันประสบการณ์และความรู้สึกจากใจจริง คือสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราได้เชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง
ต่อไปฉันอยากจะเล่าถึงเส้นทางชีวิตของฉัน ตั้งแต่วัยเด็ก ไล่เรียงตามลำดับเวลาให้คุณได้รู้จักกันมากขึ้นค่ะ


วัย เด็ก
ตั้งแต่ยังเล็ก ฉันเป ็นเด็กที่มักตั้งคำถามว่า “อะไรคือความจริงกันแน่!?”
สิ่งที่ผู้ใหญ่พูดกับเด็กด้วยเจตนาดี ฉันกลับมักจะคิดในใจว่า “มันใช่จริง ๆ เหรอ?”
และพยายามสังเกตว่า แท้จริงแล้ว “ความรู้สึกเบื้องหลังคำพูดของผู้คน” คืออะไร
ช่วงประถมศึกษา

ในวันพิธีเปิดภาคเรียนวันแรกของชั้น ป.1 ฉันเดินเข้าไปหานักเรียนทั้ง 40 คนในห้อง และถามทีละคนว่า “ตั้งแต่วันนี้ เราเป็นเพื่อนกันได้ไหม?”
ช่วงชีวิตจนถึงประมาณ ป.4 ฉันมีความสุขมาก ๆ ในทุก ๆ วัน
เต็มไปด้วยความสดใสร่าเริงไร้เดียงสา ทุกวันรู้สึกปลอดภัย อบอุ่น และเปี่ยมล้น
แต่แล้ว... ก็เกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้นในวันแดดจ้า ณ สวนสาธารณะ ซึ่งฉันขอเรียกมันว่า “เหตุการณ์แทรมโพลีน” 🌀
ฉันเผลอเหยียบเท้ารุ่นพี่เข้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ ขณะกำลังเล่นสนุก
และด้วยเหตุผลบางอย่าง… ฉัน “ไม่ยอมเอ่ยคำขอโทษ”
เหตุการณ์นั้นกลายเป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้ฉันถูกเพิกเฉยโดยนักเรียนทั้งชั้น ป.5–ป.6 แบบ “กลุ่มใหญ่”
เหมือนถูกผลักจาก “สวรรค์” ลงสู่ “ขุมนรก” ในชั่วข้ามคืน...
ช่วงมัธยมต้นและมัธยมปลาย
จากเหตุการณ์แทรมโพลีนในวัยประถม ฉันไม่รู้จะ “แสดงออก” ตัวเองอย่างไรอีกต่อไป
ประสบการณ์การถูกเพิกเฉยเป็นกลุ่ม ทำให้ฉันกลัว “การเปลี่ยนแปลงของผู้คน” และค่อย ๆ ปิดใจไปโดยไม่รู้ตัว
ในห้องเรียน... ฉันจะพยายามหลบอยู่มุมห้อง ให้ตัวเอง “โดดเด่นน้อยที่สุด” เท่าที่จะทำได้
เวลาที่น่ากลัวที่สุดของวัน คือ “เวลาว่าง” อย่างช่วงพักหรือช่วงเปลี่ยนคาบเรียน
อยากเปลี่ยนตัวเองให้ได้ ฉันจึงตัดสินใจเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมเอกชน ที่ไม่มีใครรู้จักฉันเลยแม้แต่คนเดียว
แต่แม้จะเปลี่ยน “สิ่งแวดล้อม” บาดแผลในใจก็ยังคงอยู่...
ฉันยังไม่สามารถมีความมั่นใจในตัวเองได้ ยังไม่กล้าแสดงออกในสิ่งที่เป็นตัวเอง และรู้สึกว่า... ไม่ว่า “จะพยายามสนุกแค่ไหน” ก็ไม่เคยสนุกจากใจจริงเลย
ช่วงมหาวิทยาลัยและวัยทำงาน
ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ฉันมีเพื่อนสนิทกลุ่มเล็ก ๆ และมีช่วงเวลาที่สนุกไม่น้อย แต่วันหนึ่ง ฉันรู้สึกเหมือนถูกเพื่อนที่สนิทที่สุด “หักหลัง” มันกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ฉัน “ไม่สามารถไว้ใจใครได้อีก” และในที่สุดฉันก็กลายเป็นคนหวาดกลัวการเข้าสังคม และเก็บตัวอยู่บ้านเกือบหนึ่งปี
พอขึ้นปี 3 เทอมปลาย เพื่อนรอบตัวก็เริ่มเข้าสู่ช่วงหางานกันแล้ว
แต่สำหรับฉัน… การเดินเข้าบริษัทต่าง ๆ แล้วพูดถึง “เหตุผลที่อยากทำงานที่นี่” ในการสัมภาษณ์
มันรู้สึก “ไม่จริงใจ” และ “ไม่ใช่ของฉัน” เอาเสียเลย ฉันจึงไม่สามารถฝืนทำแบบนั้นได้
ในตอนที่ยังไม่รู้เลยว่า “ตัวเองอยากทำอะไร” ฉันใช้วิธี “ตัดตัวเลือกที่ไม่ใช่” ไปเรื่อย ๆ และสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในตอนนั้นคือ… “บริษัทเสริมความงาม (เอสเต้)”
ในวันสัมภาษณ์... ฝนตก ฉันใส่สูท ขี่จักรยานกางร่มไปสถานีรถไฟ
แต่บนทางลาด… ล้อจักรยานลื่น ฉันเสียหลัก ล้มคว่ำอย่างแรง! สูทขาดเป็นริ้ว ฝ่ามือถลอก เลือดเต็มไปหมด
ในตอนนั้น ฉันรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า “อ๋อ… นี่แหละ คือสัญญาณว่าไม่ต้องหางานแล้ว!”
จากเหตุการณ์นั้น ฉันตัดสินใจ “ไปเที่ยวคนเดียวที่โอกินาว่า” พร้อมกับความหวังว่า จะได้พบกับ “สิ่งที่ตัวเองอยากทำจริง ๆ” ระหว่างเดินทาง

ที่เกาะทาเคโทมิของโอกินาว่า ฉันได้ฟังเรื่องราวและประสบการณ์จากรุ่นพี่ในชีวิต
มันทำให้ฉันรู้สึกว่า… ชีวิตไม่จำเป็นต้องเดินตามเส้นทาง “ประถม–มัธยม–มหาวิทยาลัย–สมัครงาน” เท่านั้น
ในขณะที่กำลังฟังเรื่องเหล่านั้น ฉันก็ย้อนถามตัวเองว่า “จริง ๆ แล้วฉันอยากทำอะไร?”
แล้วความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามา... “ฉันอยากไปอยู่ต่างประเทศ!!”
แต่แน่นอนว่าการไปอยู่เมืองนอกมันใช้เงิน การไปเรียนต่อต่างประเทศก็ต้องใช้เงินเหมือนกัน
ไอเดียที่ผุดขึ้นมาคือ
“เป็นครูสอนภาษาญี่ปุ่น แล้วไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ”
พอรู้เป้าหมายแล้ว ฉันก็ไม่รอช้า กลับจากการเดินทาง แล้วเข้าเรียนในหลักสูตรครูสอนภาษาญี่ปุ่นทันที ใช้เวลาประมาณ 1 ปี
แม้จะคิดมาตลอดว่า “ตัวเองไม่ถนัดการสอนเลย” แต่เพราะเป้าหมายอยู่ตรงหน้า ฉันก็ยอมฝึกเล่นบทบาทในคลาสจำลองทั้งที่มือสั่น ใจเต้นไม่หยุด
วันหนึ่ง ฉันได้ดูรายการทีวี นักแสดงหญิงชื่อดังคนหนึ่งพูดว่า “จริง ๆ ฉันเป็นคนขี้อายค่ะ” ฉันช็อกมาก! เพราะเธอดูมั่นใจสุด ๆ เวลายืนต่อหน้ากล้อง
นั่นทำให้ฉันเข้าใจว่า...
“ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ถ้าเรารับบทนั้นให้สุด มันจะดูดี และสุดท้ายมันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเราเอง”
หลังจากนั้น ฉันก็เริ่มตั้งใจลอง “ทำสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัด” ผ่านงานพาร์ทไทม์
งานพนักงานร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร อิซากายะ งานรับโทรศัพท์ที่คอลเซ็นเตอร์ พนักงานเสิร์ฟในโรงแรมและงานแต่ง งานเอกสาร งานโรงงาน งานถือป้ายโฆษณา แม้แต่การเคาะประตูบ้านเพื่อขายของ!
ฉันลองทำทุกอย่างที่ “ไม่เคยทำมาก่อน” เพราะฉันเชื่อว่า...
“ยิ่งเรากลัวน้อยลง เราก็จะมีอิสระมากขึ้น”
ในที่สุด ฉันก็สอบผ่านและได้รับใบรับรองเป็นครูสอนภาษาญี่ปุ่น และได้ถูกส่งตัวไปฝึกงานที่ประเทศไทย
และที่นั่น… ฉันก็ได้พบกับอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนของชีวิต
ในวันพิธีจบหลักสูตร ฉันบังเอิญเจอกับผู้ชายคนหนึ่งจากอีกคลาสหนึ่ง และ “ตกหลุมรักแรกพบ”
แต่พอคิดว่าจะไม่ได้เจอกันอีก… ฉันก็รู้สึกหดหู่
ไม่นานหลังจากนั้น บนกระดานประกาศของโรงเรียน มีโพสต์รับสมัครครูสอนภาษาญี่ปุ่นฝึกงานที่ “ประเทศไทย”
ทันทีที่เห็น ฉันรู้สึกว่า “นี่แหละ! โอกาสของฉัน!”
และบังเอิญมาก... ผู้ชายที่ฉันตกหลุมรักก็สมัครไปไทยเหมือนกัน
ที่นั่น... เราได้มีความรักครั้งใหญ่ ถึงขั้นคิดจะหนีไปใช้ชีวิตด้วยกัน
เขาเป็นคนที่มีแนวคิดลึกซึ้งแบบปรัชญา และส่งผลต่อการมองตัวเองของฉันอย่างมาก แม้ว่าเราจะจบความสัมพันธ์กันหลังจาก 4 ปีครึ่ง แต่สิ่งที่ฉันได้รับจากเขานั้นมากเกินคำบรรยาย
หัวข้อที่เด่นชัดในชีวิตฉันคือ “การยืนด้วยตัวเอง”
เพราะเงินเดือนครูญี่ปุ่นในไทยนั้นต่ำ ฉันจึงเริ่มคิดว่า “ต้องมีทักษะอย่างอื่นติดตัวไว้ด้วย”
ฉันตัดสินใจเรียน “นวดแผนไทย” ที่ประเทศไทย
เพื่อไม่ให้ลืมสิ่งที่เรียนมา ฉันจึงเริ่มทำงานนวดแผนไทยในสถานที่อาบน้ำสาธารณะ (ออนเซ็น)
และสิ่งที่เริ่มต้นจาก “งานชั่วคราว” ก็ค่อย ๆ กลายเป็น “อาชีพของชีวิต” ฉันเริ่มรักมัน และพบว่า… นี่คือสิ่งที่ฉันสามารถใส่ใจและทุ่มเทได้จริง ๆ
ช่วงเวลาแห่งการฝึกฝนด้านจิตวิญญาณ
ยิ่งฉันได้ทำงานกับลูกค้ามากขึ้น ฉันก็ยิ่งรู้สึกดึงดูดเข้าสู่ “ศาสตร์แห่งการดูแลร่างกายแบบไทย” มากขึ้นเรื่อย ๆ และได้ตระหนักว่า...
“ฉันอยากเป็นผู้ที่สามารถเยียวยาผู้อื่นได้อย่างแท้จริง”
นั่นคือเหตุผลที่ฉันตัดสินใจเดินทางกลับไปยังประเทศไทยอีกครั้ง เพื่อ “ฝึกฝนตนเองอย่างจริงจัง”
ฉันเรียนตามโรงเรียนนวดไทยหลายแห่งในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ แต่สิ่งที่สังเกตได้คือ… แต่ละโรงเรียนจะสอนแค่ “รูปแบบของโรงเรียนนั้น” เท่านั้น
ทั้งที่ “รูปร่าง ปัญหา และอาการของแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย” แต่ทำไมเราถึงใช้รูปแบบการนวดเดียวกันกับทุกคนได้ล่ะ?
คำถามนี้ค้างคาในใจตลอดเวลา...
และในช่วงเวลานั้นเอง ฉันก็ได้พบกับคุณครูชารัม (Shahram) ชาวอิหร่านผู้เป็น Spiritual Teacher ที่อาศัยอยู่ในเชียงใหม่ โดยบังเอิญ… แต่เปลี่ยนชีวิตของฉันไปตลอดกาล

คำปรารถนาของฉันคือ
“อยากเป็นคนที่สามารถเยียวยาผู้อื่นได้อย่างแท้จริง”
และสิ่งที่อาจารย์ชารัมตอบคือ...
“นั่นคือการพัฒนา ‘จิตวิญญาณของตัวเอง’ ให้เติบโตขึ้น”
คำสอนของอาจารย์คือ “ตราบใดที่เรายังถูกควบคุมด้วย ‘อีโก้’ และ ‘ความคิดในหัว’ พลังงานที่ส่งออกไปในระหว่างการเยียวยาก็จะไม่บริสุทธิ์”
ผู้เยียวยาที่แท้จริงต้องกลายเป็น “ท่อโปร่งใส” ให้พลังงานไหลผ่านได้อย่างบริสุทธิ์
จากวันนั้นเป็นต้นมา ฉันเริ่มใช้ชีวิตอยู่กับ “การนั่งสมาธิทุกวัน”
ฝึกสังเกตและปล่อยวาง “อีโก้” และ “ความคิดยึดติด” ของตัวเอง เผชิญหน้าและพูดคุยกับตัวตนภายใน… อย่างลึกซึ้งที่สุดเท่าที่เคยทำมา
อีกหนึ่งคำสอนสำคัญของอาจารย์ชารัมคือ
“การปล่อยวางจากความยึดมั่น”
วันหนึ่ง ฉันตัดสินใจโกนผมจนเกลี้ยง ซึ่งถือเป็น “สัญลักษณ์ของความยึดมั่นในความเป็นผู้หญิง” ที่ฉันแบกไว้มาตลอด
และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทาง “การฝึกจิตแบบเข้มข้น” ที่กลายเป็นบทหนึ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของฉัน
ฉันได้สัมผัสประสบการณ์ลี้ลับที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่สิ่งที่ฉันต้องเผชิญอย่างหนักหน่วงคือ...
“พลังจิตโจมตี” หรือ Psychic Attack
มันทำให้ฉันตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า เหมือนเป็น “คนไร้วิญญาณ” เหมือนไม่ใช่ตัวเองอีกต่อไป
ความกลัวอย่างรุนแรง และพลังงานด้านลบที่มองไม่เห็น ถาโถมเข้ามาจนฉันแทบล้มทั้งยืน

กลับไปโอกินาว่าอีกครั้ง
ฉันรู้สึกว่า… ถ้ายังอยู่ที่เดิมต่อไป ตัวฉันอาจ “พัง” ลงอย่างแท้จริง
ในตอนนั้น ฉันโกนผมและถูกพ่อแม่ตัดขาด ไม่มีที่ให้กลับไป จึงตัดสินใจเดินทางไปยังเกาะทาเคโทมิที่โอกินาว่า สถานที่ที่ครั้งหนึ่งเคยช่วยให้ฉัน “เปลี่ยนแปลงตัวเองได้”
ที่นั่น… ฉันได้ทำงานในร้านอาหารเล็ก ๆ บนเกาะ และมีคนใจดีให้ฉันเช่าบ้านชั้นเดียวแบบเรียบง่าย
แต่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน พลังจิตโจมตี (Psychic Attack) ก็ยังตามมาหลอกหลอน
สุดท้าย ฉันก็ต้องออกจากเกาะนั้นราวกับถูกขับไล่ และไม่รู้เลยว่าจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร เรียกได้ว่า… เป็น “ภาวะสิ้นหวังอย่างแท้จริง”
ต่อมา ฉันย้ายไปอยู่เกาะอื่น และได้เริ่มทำงานที่ร้านอิซากายะเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง
ในวันหยุด ฉันมักไปทะเลคนเดียว ร้องเพลง พูดกับตัวเอง ปลอบใจตัวเอง… เพื่อพยายามประคองสภาพจิตใจให้กลับมาเข้าที่
เวลาผ่านไปประมาณ 1 ปี ผมที่เคยโกนก็ยาวขึ้น
และวันหนึ่ง… ฉันก็ “เดินกลับบ้าน” เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น (หัวเราะ)
จุดเปลี่ยนจาก “ความทรงจำก่อนเกิด”
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ความต้องการของฉัน กับ ความคาดหวังของพ่อแม่ ไม่เคยตรงกันเลย
ฉันมักจะ “เลือกเส้นทางของตัวเอง” แม้พ่อแม่จะไม่เห็นด้วยก็ตาม
แต่ในขณะเดียวกัน… ความรู้สึกว่า “พ่อแม่ไม่เข้าใจฉัน” “ไม่เชื่อใจฉัน” หรือ “ไม่มีวันเข้าใจกันได้” ก็ฝังแน่นอยู่ในใจมาตลอด
ในใจของฉัน มีคำถามที่ไม่เคยหายไปเลย...
“ทำไมพ่อแม่ถึงไม่เข้าใจฉันบ้าง?”
ฉันเริ่มรู้สึกว่า ไม่ว่าจะพูดความรู้สึกจริงแค่ไหน พวกเขาก็จะไม่มีวันเข้าใจอยู่ดี
สุดท้าย ฉันก็แทบไม่เคย “เปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริง” กับครอบครัวอีกเลย
ภาพจำในใจของฉันคือ
“ครอบครัว = คนที่ไม่มีวันเข้าใจกัน”
ความคิดนี้ฝังรากลึกในหัว และกลายเป็นความเชื่อที่ฉันไม่รู้จะสลัดออกไปอย่างไร
ด้วยเหตุนี้ ทุกครั้งที่มีเรื่องสำคัญต้องตัดสินใจ ฉันจะไม่ปรึกษาใคร… แต่ “ตัดสินใจเองแล้วค่อยบอกทีหลัง”
ฉันรู้ว่า ถ้าปรึกษา ก็จะถูกห้าม และถ้าฉันยอมให้พวกเขาห้ามได้ ฉันอาจจะกลับมารู้สึกเสียใจ แล้วโทษพ่อแม่ภายหลัง
ฉันจึงเลือกที่จะ “แบกรับมันทั้งหมดไว้คนเดียว”
แต่แล้ว… ฉันได้ดูหนังเรื่อง “สัญญากับพระเจ้า (かみさまとのやくそく)” และได้รู้จักกับศาสตร์ที่เรียกว่า “การศึกษาเรื่องความทรงจำก่อนเกิด (胎内記憶教育)”
มันทำให้มุมมองของฉัน ต่อ “ความสัมพันธ์ในครอบครัว” และ “ความเข้าใจที่เคยคลาดเคลื่อน” เริ่มเปลี่ยนไปอย่างลึกซึ้ง
เมื่อฉันได้เรียนรู้ “胎内記憶教育” ความเข้าใจเกี่ยวกับพ่อแม่ และการมองสิ่งต่าง ๆ ในชีวิต
ก็เริ่มเปลี่ยนแปลง
เรื่องราวต่าง ๆ ที่เคยดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกัน เริ่มเชื่อมโยงเป็นเส้นเดียวกัน
แม้แต่ประสบการณ์ที่เคยรู้สึกเสียใจ… ก็เริ่มกลายเป็น “เรื่องราวที่มีสีสันและความหมาย”
มันคือความรู้สึกคล้าย ๆ กับ “ได้ตรวจคำตอบของชีวิตตัวเอง” ฉันเริ่มมองเห็นว่า ทุกประสบการณ์ในชีวิต มีคุณค่าและความหมายของมันเสมอ

ขอขอบคุณคุณหมออากิระ อิเคกาวะ
และคุณยูโกะ สึจิบาชิ
กรรมการผู้ก่อตั้งสมาคม การศึกษาเรื่องความทรงจำในครรภ์แห่งประเทศญี่ปุ่น
สู่โลกของวิทยาศาสตร์ล้ำสมัยและควอนตัม
แม้ฉันจะเคยฝึกฝน ค้นคว้า และเรียนรู้เกี่ยวกับ “โลกที่มองไม่เห็น” มามากมาย แต่ก็ยังมีบางสิ่งที่ “เข้าใจในหัว แต่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ในใจ”
สิ่งนั้นก็คือ… “การรับรู้ตัวเอง” ที่ฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึกนั่นเอง
“อยากรักตัวเองให้มากกว่านี้” “อยากมั่นใจในตัวเอง” “อยากเชื่อมั่นในตัวเอง” “อยากยอมรับตัวเองได้อย่างแท้จริง”
แม้จะตั้งใจอย่างแรงกล้า แม้จะใช้คำยืนยัน (Affirmation) ซ้ำ ๆ แค่ไหน แต่ความรู้สึกเหล่านี้… ก็ยังเปลี่ยนแปลงได้ยากเหลือเกิน
สิ่งที่ทำให้ “ความเชื่อฝังลึก” เหล่านี้เปลี่ยนได้ในที่สุด ก็คือ เมธอดจิตวิทยาเชิงควอนตัม (Quantum Psychology Method)
จากที่เคยหวาดกลัว “พลังงานที่มองไม่เห็น” เมื่อได้รู้จักโลกของ “วิทยาศาสตร์ควอนตัม” ฉันรู้สึกว่า… จิตสำนึกของตัวเองค่อย ๆ เป็นอิสระ
ฉันไม่ต้องหวาดกลัวพลังลึกลับอีกต่อไป ฉันได้ความ “มั่นคงและเบาสบาย” และในที่สุด… ฉันก็กลายเป็น “ตัวเองในแบบที่อยากเป็น” ได้จริง ๆ
แม้แต่โลกสปิริตชวลที่ดูเลือนลาง ก็มี “กฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์” อธิบายอยู่เบื้องหลัง
ความสามารถบางอย่างที่ฉันเคยต้องฝึกฝนอย่างหนัก กลับถูก “ถอดสูตร” ออกมาเป็นสมการทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างน่าอัศจรรย์
ฉันสามารถ “ชำระล้างอารมณ์” ของตัวเองได้ง่ายขึ้น ทุกครั้งที่ต้องการ… ก็สามารถเปลี่ยนพลังงานในใจให้บริสุทธิ์ได้
เมื่อได้เข้าใจ “กลไกของโลกควอนตัม” ฉันก็เริ่มสามารถ “กำหนดความปรารถนา” จากความเป็นไปได้ไม่สิ้นสุด และ “ดึงดูดความจริง” เข้ามาอย่างเป็นธรรมชาติ
ข้อมูลด้านลบในจิตใต้สำนึก สามารถ “เปลี่ยนความถี่” ได้อย่างง่ายดาย และฉันสามารถสร้างความจริงที่ต้องการ… ได้อย่างเบาสบายและมีพลัง
ฉันเองยังรู้สึกประหลาดใจ ที่เราได้ก้าวเข้าสู่ยุคที่ “ไม่ต้องใช้ความทรมานเพื่อเติบโต” อีกต่อไปแล้ว ยุคที่… ไม่จำเป็นต้องอดทนฝึกหนักอีกต่อไป (หัวเราะ)

ได้รับเลือกเป็นตัวแทนญี่ปุ่นในรายการ Mrs. International
และได้ก้าวสู่เวทีระดับโลกที่สหรัฐอเมริกา
ฉันเริ่มต้นด้วยการใช้เมธอดจิตวิทยาเชิงควอนตัมกับตัวเองก่อน
เพราะฉันเชื่อว่า ถ้าตัวเองยังเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ฉันก็คงไม่มีพลังเพียงพอที่จะถ่ายทอดให้กับผู้อื่น
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในชีวิตจริงคือ...
ภาวะ HSP (ความรู้สึกไวเกิน) ดีขึ้น อาการประหม่าในที่สาธารณะดีขึ้น ความเชื่อมั่นในตัวเองเพิ่มขึ้น เริ่มเปิดคอร์สของตัวเอง สร้างบ้านใหม่ รายได้เพิ่มขึ้นหลายเท่า ก่อตั้งบริษัทได้สำเร็จ…
ทั้งภายในและภายนอก ชีวิตของฉันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จนแม้แต่ตัวฉันเองยังรู้สึกทึ่งกับความเร็วของการเปลี่ยนแปลงนั้น
ฉันเริ่มสามารถจัดการตัวเองได้อย่างเป็นอิสระ เมื่อรู้สึกกลัว ก็ลบมันออกได้ง่าย ๆ และถ้ารู้ว่าอยากเป็นใคร อยากได้อะไร ก็เพียงแค่ใช้เทคนิคที่สร้างขึ้นจากสมการควอนตัมตั้งค่ามันไว้
เพียงแค่ทำสิ่งนี้ซ้ำ ๆ ชีวิตก็เริ่มเปลี่ยน สิ่งที่อยากได้ งานที่อยากทำ คนที่อยากเจอ ทุกอย่างเริ่มหลั่งไหลเข้ามา
อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่ชีวิตกำลังราบรื่น ฉันได้รับคำทำนายจากผู้มีญาณหลายคนว่า...
“คุณควรใส่เสื้อผ้าที่โดดเด่นกว่านี้” “คุณควรแสดงความงามของตัวเอง” “คุณจะได้แสดงออกบนเวที และได้รับการยกย่องด้านความงาม”
ฉันตกใจมาก เพราะไม่เคยมีความฝันอะไรแบบนั้นเลย!
แต่พอฉันได้คิดย้อนกลับไป... ฉันเคยโกนผมบวช เคยฝึกจิตในทางลึก ฉันอาจ “เผลอจำกัดตัวเองโดยไม่รู้ตัว” เช่น ห้ามแต่งตัว ห้ามแสดงความเป็นผู้หญิง ห้ามโดดเด่นเกินไป
แล้วถ้า... การปลดล็อกข้อจำกัดเหล่านี้ ทำให้ฉัน “เป็นตัวเองได้อย่างอิสระมากขึ้น” ล่ะ?
บางทีจักรวาลอาจกำลังส่ง “สัญญาณต่อเนื่อง” เพื่อบอกให้ฉันเปิดรับศักยภาพอีกด้านที่ยังซ่อนอยู่
ฉันจึงตั้งใจลอง “ทดลอง” ด้วยการใช้เทคนิคของตัวเอง ตั้งค่าความเป็นจริงว่า “ฉันจะมีโอกาสได้เข้าร่วมประกวดสักเวทีหนึ่ง”

แล้วเหมือนปาฏิหาริย์... ประมาณ 1 เดือนต่อมา ฉันก็ได้รับข้อความจากผู้หญิงที่เคยเป็นตัวแทนญี่ปุ่นในปี 2023!
เมื่อฉันเล่าเรื่องคำทำนายที่เคยได้รับให้เธอฟัง เธอก็ตอบกลับมาว่า...
“งั้นปีหน้าโยโกะลองเข้าประกวดดูไหม?”
ฉันถึงกับอุทานว่า...
“จริงเหรอ!? นี่มันบังเอิญเกินไปแล้ว!” (แต่ลึก ๆ ก็รู้ว่า... นี่คือสิ่งที่ฉันเป็นคนตั้งค่าเอง 😅)
แม้จะได้รับคำเชิญแล้ว ฉันก็ยังรู้สึก “กลัวมาก” เพราะลึก ๆ แล้วฉันเคยกลัวโลกของ “ผู้หญิงที่ประกวดความงาม”
แต่แล้ว เธอก็ชวนฉันไปถ่ายรูปใส่ชุดราตรีในสัปดาห์ถัดไป และวันนั้น... บังเอิญเป็นวันเดียวที่ฉันว่างพอดี!
การพบเจอ คำเชิญ จังหวะเวลา...
ทุกอย่างเหมือนถูก “จัดวางไว้ล่วงหน้า”
ในที่สุด… ฉันก็ยอม “ปล่อยให้ตัวเองไหลตามกระแส” ที่ไม่อาจต้านได้
และฉันก็บอกตัวเองว่า…
“ถ้ามีสิ่งที่อยากบอกให้โลกรู้ มันก็ไม่มีทางเกิดขึ้น ถ้าเราไม่กล้าขึ้นเวที”
“เวทีนี้... อาจเป็นพื้นที่ให้ฉันแสดงความรู้สึก ที่ฉันเก็บไว้ในใจตั้งแต่วัยเด็กก็ได้”
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ฉันก็ตัดสินใจสมัครเข้าประกวด
และในที่สุด... ฉันก็ได้รับเลือกเป็นผู้เข้ารอบสุดท้าย (Finalist)
แม้ในตอนแรกจะรู้สึกกลัวมาก แต่ฉันก็บอกตัวเองว่า…
“นี่แหละคือโอกาสให้ฉันใช้ตัวเองเป็น ‘หนูทดลอง’ อย่างแท้จริง”
“เมื่อความกลัวโผล่มา… ฉันจะลบมัน”
“แล้วตั้งเป้าว่า ฉันอยากเป็นแบบไหน?”
เมื่อทำแบบนั้น แม้แต่เรื่องที่เคยคิดว่า “ฉันทำไม่ได้แน่ ๆ” เช่น เดินแบบ ท่าทาง การไดเอท การปรับบุคลิก ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปทีละนิด
ฉันรู้สึกตื่นเต้นกับตัวเองมาก รู้สึกสนุก สนุก และสนุกมากขึ้นทุกวัน
ยิ่งฉันทุ่มเทอย่างจริงจัง ฉันก็ยิ่งได้พบกับผู้คนที่เปรียบเสมือน “ครอบครัวทางจิตวิญญาณ” ผู้ที่คอยให้กำลังใจฉันจากหัวใจอย่างแท้จริง
และในวันประกวด… ท่ามกลางเสียงเชียร์ที่อบอุ่น
ฉันได้รับตำแหน่งตัวแทนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ พร้อมเส้นทางสู่เวทีระดับโลกที่อเมริกา
นั่นคือ “ภาพที่งดงามและเต็มไปด้วยพลัง” ที่ฉันไม่เคยจินตนาการมาก่อนในชีวิต

การขยายกิจกรรมสู่ต่างประเทศ
หลังจากนั้น ฉันก็ได้รับบทบาทเป็น “สะพานเชื่อม” กับประเทศไทยที่ฉันรักอย่างลึกซึ้ง ได้รับเลือกให้เป็นนางแบบโชว์ผลงานของดีไซเนอร์ไทย และยังได้รับโอกาสให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ในประเทศไทยถึง 9 ช่องอีกด้วย
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นโลกใบใหม่ ที่ในอดีต... ฉันไม่เคยจินตนาการว่าจะได้สัมผัสเลยจริง ๆ

“การได้ทำความฝันทั้งหมดให้เป็นจริง... มันดีมากจริง ๆ !!”
เสียงเงียบ ๆ แต่ชัดเจน ดังก้องจากส่วนลึกของหัวใจ
ในอดีต ฉันเคยรู้สึกกลัวกับการมีความฝันหรือเป้าหมาย
เพราะลึก ๆ แล้ว ฉันเคยคิดว่า “ยังไงก็คงเป็นไปไม่ได้” และถ้าทำไม่สำเร็จ ฉันคงโทษตัวเองไม่หยุดแน่ ๆ ฉันจึงเลือกปล่อยให้ชีวิตไหลไปตามกระแส โดยไม่ตั้งเป้าอะไรชัดเจน
การยืนต่อหน้าผู้คน การแสดงความงดงามในฐานะผู้หญิง การแสดงความสุขอย่างแท้จริงออกมาให้โลกเห็น
สิ่งเหล่านี้ ที่จริงแล้วเป็น “สัญลักษณ์ของความสุข” ที่ใคร ๆ ก็มีได้ แต่ฉันกลับเคยละทิ้งมันไป ฉันเคยพยายามบอกตัวเองว่า “ชีวิตตอนนี้ก็ดีอยู่แล้วนี่” แม้จะยังแอบสนใจสายตาคนรอบข้างอยู่ลึก ๆ ก็ตาม
แต่ว่า… เมื่อหัวใจไม่ได้เติมเต็มอย่างแท้จริง ไม่ว่าใครจะขอบคุณฉันมากแค่ไหน ไม่ว่าจะได้ใบประกาศมากเท่าไร ความรู้สึกว่า “ยังขาดอะไรบางอย่าง” ก็ไม่เคยหายไปเลย
เข้าสู่ยุคที่ “ปาฏิหาริย์” เกิดขึ้นได้อย่างตั้งใจ
“การเปลี่ยนแปลงตัวเองมันยากมาก”
“หากอยากได้บางสิ่ง ต้องยอมเสียบางอย่างก่อนเสมอ”
ฉันเคยเชื่อแบบนั้น... แต่มุมมองนี้กลับพลิกผันไปโดยสิ้นเชิง เมื่อฉันได้พบกับโลกของควอนตัม
อะไรนะ? ไม่จำเป็นต้องอดทนหรือจำกัดตัวเองเหรอ? ความพยายามอย่างเดียวอาจไม่ใช่คำตอบ?
“จะอธิบายเรื่องพลังงานที่มองไม่เห็นด้วยหลักวิทยาศาสตร์ได้จริงหรือ?” “มีโลกที่เชื่อว่า ‘มันจะสำเร็จ’ เป็นเรื่องปกติ?” “ใช้สมการควอนตัมในการดึงดูดสิ่งที่ต้องการ?” “ใช้สมการเพื่อปลดปล่อยบาดแผลในใจ?”
เมื่อฉันได้รู้ว่าโลกแบบนั้นมีอยู่จริง หัวใจก็แทบหยุดเต้น ราวกับเวลาถูกหยุดไว้ ความรู้สึกเหมือนอยู่ในฝัน หรือไม่ก็เหมือนมีจิ้งจอกมาหยอกล้อ... สมองฉันหยุดนิ่งไปเลยชั่วขณะ
ฉันอยากพิสูจน์ด้วยตัวเอง และอยากส่งต่อสิ่งนี้ให้กับใครสักคน
นั่นคือแรงผลักดันที่ทำให้ฉันเดินทางมาจนถึงทุกวันนี้
ไม่ใช่แค่ “พยายามให้หนักขึ้น” แต่คือ “ปรับคลื่นความถี่ของใจ”
ตอนนี้ฉันมั่นใจเต็มที่แล้วว่า เพียงเท่านี้... ความเป็นจริงก็เริ่มเปลี่ยนแปลงได้

เมื่อเราปรับคลื่นความถี่ให้เป็นมิตร โลกทั้งใบก็จะกลมกลืน
พวกเราทุกคน ต่างก็ส่งพลังงานที่มองไม่เห็นออกไปอยู่เสมอ เรียกว่าคลื่นความถี่ (Frequency)
แม้ภายนอกจะดูเหมือนว่าทุกอย่างราบรื่น แต่หากภายในใจมีความวุ่นวาย คลื่นความถี่ก็จะไม่สมดุล และความไม่สมดุลนี้... จะปรากฏออกมาในชีวิตจริงเสมอ
ในทางกลับกัน หากบุคคลที่มีอิทธิพลต่อสังคม สามารถปรับความถี่จากภายใน ให้เป็นคลื่นของ “ความกลมกลืน” ได้—
สิ่งนั้นจะกลายเป็น “คลื่นแห่งความสงบ ความงดงาม และความหวัง” ที่ส่งต่อไปยังผู้คนรอบข้างและสังคมโดยรวม
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ฉันอยากทำงานกับผู้ที่กำลังเปล่งประกาย และผู้ที่มีพลังอิทธิพล เพื่อส่ง “คลื่นแห่งความกลมกลืน” หรือ Waves of Wellness ไปยังโลกใบนี้อย่างอ่อนโยนและทรงพลัง
พลังงาน คือ ภาษาสากลของโลกใบนี้
โลกที่ไม่ต้องใช้คำพูด ไม่ต้องมีพรมแดน เพียงรอยยิ้มหนึ่งเดียว ก็เชื่อมโยงหัวใจของเราเข้าหากันได้
ประสบการณ์นั้น... ฉันได้สัมผัสเป็นครั้งแรกในชีวิต เมื่อฉันเดินทางไปยังต่างประเทศครั้งแรกในวัยเด็ก ที่ “ฮาวาย”
Make Magic Method คือเทคโนโลยีที่ก่อตั้งขึ้นจากหลักวิทยาศาสตร์ เพื่อส่ง “คลื่นแห่งความรัก” สู่ความเป็นจริงในชีวิต
ไม่จำเป็นต้องฝืนพยายามเพื่อให้ “กลายเป็นความรัก” เพียงแค่เรา “สังเกตความไม่สบายใจในใจ” และค่อย ๆ เปลี่ยนคลื่นพลังงานภายในนั้นไป
แท้จริงแล้ว… เราทุกคน ล้วนเป็น “ความรัก” เมื่อเราปลดปล่อยความเชื่อที่ไม่จำเป็นออกไป เราก็จะสามารถปรับจูนกลับคืนสู่ตัวตนดั้งเดิมของเราได้อย่างง่ายดาย
เมื่อภายในเปลี่ยน สิ่งที่ปรากฏในโลกภายนอกก็จะสะท้อนสิ่งนั้นกลับมา และความจริงที่เราปรารถนา… ก็จะปรากฏขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
ความรู้สึก ความปรารถนา ความรัก—
หากเราสามารถส่งต่อสิ่งเหล่านั้นในรูปแบบของ “พลังงาน” ด้วยวิธีที่มั่นคง ชีวิตของผู้คนจะเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างแท้จริง
การเดินทาง เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเอง
การได้เป็นในแบบที่เราต้องการ
การสร้างความจริงในแบบที่เราฝันถึง
สิ่งเหล่านี้… ไม่ได้มาจากความเหนื่อยยากหรือการเสียสละ
แต่คือ “การกลับคืนสู่คลื่นความถี่แท้จริงของตัวเราเอง”
“การดำรงอยู่ที่รวมเป็นหนึ่งเดียวกับตัวตนด้านใน”
นั่นคือการเดินทางที่ฉันยังคงอยากร่วมเดินไปกับคุณ
Waves of Wellness
ขอคลื่นแห่งความสมบูรณ์ พูนสุขนี้
ได้แผ่กระจายออกไปจากคุณเช่นกัน
เรามาร่วมกันส่งต่อคลื่นแห่งความกลมกลืนนี้
ออกไปสู่โลกใบนี้… ด้วยกันเถอะนะคะ


และตอนนี้... สิ่งที่ฉันอยากจะบอกกับคุณ
หลังจากผ่านประสบการณ์ การฝึกฝน และการเรียนรู้อย่างลึกซึ้งมาอย่างยาวนาน ฉันได้หลอมรวมทุกสิ่งเข้าด้วยกัน และในวันนี้ ฉันขอทำหน้าที่เป็น “โค้ชด้านจิตใจ” ผู้คิดค้นเมธอด Make Magic
เพื่อช่วยให้ผู้คนได้กลับคืนสู่ตัวตนดั้งเดิมของตนเอง และสร้างความจริงในแบบที่หัวใจปรารถนา
“อยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง… แต่ทำไม่ได้เสียที” “อยากปล่อยความกลัวที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ ในใจ” “อยากใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระ เปี่ยมด้วยความรักแท้ที่มาจากภายใน” “อยากมีพลังออร่าที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนรอบตัว”
หากคุณเคยรู้สึกเช่นนี้ และไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน…
ฉันขออธิษฐานจากใจว่า Make Magic Method นี้จะได้ไปถึงมือคุณ
ในเซสชันและคอร์สของฉันที่เน้นการเดินร่วมทาง ฉันจะสนับสนุนคุณด้วยมุมมองทาง “วิทยาศาสตร์ควอนตัม” ผสานกับ “จิตวิญญาณ” เพื่อช่วยให้คุณ…
-
ปลดเปลื้องความเชื่อที่ฝังลึกในจิตใต้สำนึกที่ฉุดรั้งไม่ให้ความจริงปรากฏ
-
ปล่อยพลังงานที่ไม่จำเป็นออกไป
-
ปรับจูนคลื่นความถี่ภายในให้สอดคล้องกับอนาคตที่คุณปรารถนา
“เราสามารถสร้างชีวิตของตัวเองได้ด้วยมือของเราเอง”
สิ่งที่ฟังดูเรียบง่ายแต่มักถูกมองว่ายากเย็น วันนี้ฉันได้พิสูจน์ด้วยตนเองว่า… มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ และเรียบง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ
เพราะเหตุนี้ ฉันจึงเชื่อมั่นว่า…
“นี่คือยุคที่เราไม่เพียงแค่เชื่อในบางสิ่งแล้วเดินไปข้างหน้า แต่เป็นยุคที่เราจะรู้ความจริง และใช้มันเพื่อทำให้ความปรารถนาเป็นจริงอย่างมั่นคง”
และนี่คือยุคของ “ทุกคนสามารถเป็นผู้สร้างชีวิตของตัวเอง” ได้อย่างแท้จริง
ถ้าเว็บไซต์นี้จะกลายเป็น “หน้าสุดท้าย” ของการค้นหาที่ยาวนานของใครบางคนที่อยากเปลี่ยนแปลงตนเอง
ฉันจะรู้สึกเป็นเกียรติ และขอบคุณจากหัวใจ
ขอบคุณจากใจจริงที่อ่านมาจนถึงบรรทัดสุดท้ายค่ะ

